วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ไอ้แมงมุม

ไอ้แมงมุม/สไปเดอร์แมน
(Spider-Man)

หรือ ปีเตอร์ เบนจามิน ปาร์คเกอร์ (Peter Benjamin Parker) คือ ตัวการ์ตูนยอดมนุษย์สัญชาติอเมริกันของสังกัดมาร์เวลคอมิกส์ (Marvel Comics) สร้างขึ้นมาโดยสแตน ลี (Stan Lee) และสตีฟ ดิตโก (Steve Ditko) ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน "อแมซซิงแฟนตาซี" (Amazing Fantasy) ฉบับที่ 15 (สิงหาคม 2505) ในปัจจุบันนี้ ไอ้แมงมุมถือเป็นหนึ่งในตัวละครยอดมนุษย์ที่โด่งดังที่สุดในโลก และยังคงประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อีกด้วย
ในตอนที่ไอ้แมงมุมได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 60 ในเวลานั้น ตัวละครที่เป็นวัยรุ่นในหนังสือการ์ตูนยอดมนุษย์ของ
อเมริกามักจะมีบทบาทเทียบเท่าตัวประกอบเท่านั้น แต่การ์ตูนชุดไอ้แมงมุมได้พังกรอบเหล่านี้ออกไป โดยให้ตัวไอ้แมงมุม ซึ่งยังเป็นวัยรุ่นอยู่ มีบทบาทของวีรบุรุษตัวเอก ที่มี "ความสนใจเฉพาะตัว พร้อมกับการถูกปฏิเสธ ความขัดสน และความอ้างว้าง" ด้วยลักษณะเช่นนี้เอง ไอ้แมงมุมจึงสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านอายุน้อยได้[1]
นอกจากจะเป็นตัวละครในหนังสือการ์ตูนแล้ว ไอ้แมงมุมยังปรากฏตัวในสื่ออื่น ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น
แอนิเมชัน ละครชุดทางโทรทัศน์ คอลัมภ์การ์ตูนในหนังสือพิมพ์ วีดีโอเกม และภาพยนตร์ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างสูง
มาร์เวลได้ตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนชุดไอ้แมงมุมออกมาจำนวนหนึ่ง โดยชุดแรกมีชื่อว่า "
ดิอแมซซิงสไปเดอร์แมน" (The Amazing Spider-Man) ในหนังสือการ์ตูนแต่ละชุด จะแสดงให้เห็นพัฒนาการของตัวละครปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ตั้งแต่เป็นนักเรียนขี้อาย นักศึกษามีปัญหา ครูสอนวิชาวิทยาศาสตร์[2] จนถึงสมาชิกของคณะยอดมุนษย์ที่ชื่อ "อเวนเจอร์ส" (Avengers) ส่วนในการ์ตูนชุด "สไปเดอร์เกิร์ล" (Spider-Girl) ปาร์คเกอร์ยังมีสถานะเป็นนักวิทยาศาสตร์และพ่อ

ลักษณะพิเศษ
ชื่อจริง: ปีเตอร์ เบนจามิน ปาร์คเกอร์
ความสามารถพิเศษ:
มีพลัง ความแข็งแรง ความเร็ว ความคล่องแคล่ว และความยืดหยุ่นในร่างกายเหนือมนุษย์ทั่วไป
มีสติปัญญาสูง
สามารถเกาะหรือไต่ไปตามพื้นผิวแข็งต่าง ๆ
มี "สัมผัส
แมงมุม" ที่สามารถเตือนภัยที่กำลังจะมาถึงตัวได้ล่วงหน้า
สามารถมองในที่มืดได้
สามารถรักษาตัวเองได้
มีเข็มเล็ก ๆ คล้ายขาของแมงมุม งอกออกมาบริเวณมือและแขน
สามารถพ่น
ใยแมงมุมออกจากบริเวณข้อมือได้
ที่มาของความสามารถพิเศษ: ถูกแมงมุมอาบ
กัมมันตภาพรังสีกัด

ประวัติการตีพิมพ์การ์ตูนไอ้แมงมุม
หลังจากที่
มาร์เวลคอมมิคส์ประสบความสำเร็จกับการ์ตูนชุดสี่กายสิทธิ์ (Fantastic Four) และตัวการ์ตูนอื่น ๆ ในปี พ.ศ. 2505 แล้ว สแตน ลี บรรณาธิการและหัวหน้านักเขียนของมาร์เวล ก็คิดจะสร้างตัวการ์ตูนยอดมนุษย์ตัวใหม่ขึ้นมาอีก ซึ่งตัวการ์ตูนที่เขาคิดได้ในตอนนั้นก็คือ "สไปเดอร์แมน" หรือ "ไอ้แมงมุม" ในภาษาไทย ตัวไอ้แมงมุมนี้ เกิดขึ้นมาจากความต้องการบริโภคหนังสือการ์ตูนของวัยรุ่นชาวอเมริกันที่เพิ่มมากขึ้น และความปรารถนาของลีที่จะสร้างตัวการ์ตูนที่วัยรุ่นมีส่วนร่วมด้วยได้[3] ลีได้กล่าวเอาไว้ในหนังสืออัตชีวประวัติของเขาว่า เขาได้รับอิทธิพลในการสร้างตัวไอ้แมงมุมมาจากนิตยสารเกี่ยวกับนักสู้อาชญากรที่ชื่อ "เดอะสไปเดอร์" (The Spider)[4] และการได้เห็นความสามารถของแมลงวันที่สามารถไต่กำแพงได้[5]
ในเรื่องของชื่อ "สไปเดอร์แมน" นั้น นักวาดการ์ตูน
สตีฟ ดิตโก ได้กล่าวถึงที่มาของมันว่า: ตอนที่ถกกันเกี่ยวกับไอ้แมงมุมครั้งหนึ่ง สแตนได้พูดว่า เขาชอบชื่อฮอว์กแมน (Hawkman) แต่ทางสังกัดดีซีคอมมิคส์ (DC Comics) ได้ใช้ชื่อนี้และสร้างตัวละครตัวนี้ไปแล้ว ทางมาร์เวลก็มีแอนท์แมน (Ant-Man) กับแวสป์ (Wasp) แล้ว เพราะฉะนั้นตัวการ์ตูนตัวนี้ก็ควรจะอยู่ในหมวดแมลงด้วย[6] จากคำพูดนี้เอง ผมก็เชื่อว่าในตอนนั้นสแตนมีชื่อที่จะตั้งให้กับตัวการ์ตูนตัวนี้แล้ว

สแตน ลี ผู้ที่มีส่วนสำคัญในการกำเนิดของไอ้แมงมุม
ต่อมา ลีได้เข้าไปตีสนิทกับฝ่ายการพิมพ์ของมาร์เวลที่ชื่อ
มาร์ติน กู๊ดแมน (Martin Goodman) เพื่อที่จะให้เขาเห็นพ้องกับการกำเนิดการ์ตูนไอ้แมงมุมขึ้นมา หลังจากที่มีการโต้เเย้งกันในเรื่องนี้ สุดท้าย กู๊ดแมนก็ตกลงว่าจะให้ลีลองเอาเรื่องไอ้แมงมุมไปลงไว้ในหนังสือ "อแมซซิงอเดาท์แฟนตาซี" (Amazing Adult Fantasy) ฉบับสุดท้ายดู ซึ่งฉบับดังกล่าวนั้นเป็นฉบับที่ 15 และได้มีการเปลี่ยนชื่อหนังสือเป็น "อแมซซิงแฟนตาซี" อีกด้วย[7]
ในปี
พ.ศ. 2525 แจ็ก เคอร์บี (Jack Kirby) ได้ให้สัมภาษณ์ว่า ในความเป็นจริงแล้ว ลีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสร้างสรรตัวไอ้แมงมุมน้อยมาก นอกจากนั้นเขา (เคอร์บี) ยังอ้างว่า ตัวไอ้แมงมุมนี้มีต้นแบบมาจากตัวการ์ตูนอีกตัวหนึ่งที่ชื่อ "เดอะซิลเวอร์สไปเดอร์" (The Silver Spider) ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาโดยตัวเคอร์บีเองร่วมกับโจ ไซมอน (Joe Simon) เพื่อจะนำไปเสนอให้ตีพิมพ์ลงหนังสือการ์ตูนแบล็คแมจิค (Black Magic) ในสังกัดเครสท์วูด (Crestwood) แต่ทางผู้ตีพิมพ์หนังสือการ์ตูนดังกล่าวได้ยุติกิจการไปเสียก่อน
แต่จากอัตชีวประวัติของไซมอน ซึ่งตีพิมพ์ในปี
พ.ศ. 2533 นั้น ได้ให้ข้อมูลที่ต่างออกไปจากคำกล่าวข้างต้นของเคอร์บี โดยไซมอนได้ยืนยันว่า เขาไม่ได้สร้างตัวการ์ตูนเดอะซิลเวอร์สไปเดอร์ขึ้นมาเพื่อที่จะตีพิมพ์ในแบล็คแมจิคเท่านั้น นอกจากนั้น ในตอนแรกเขาก็ตั้งชื่อให้ตัวการ์ตูนตัวนี้ว่า "สไปเดอร์แมน" เหมือนกับชื่อภาษาอังกฤษของไอ้แมงมุมในปัจจุบัน แต่ภายหลังได้เปลี่ยนมาเป็นเดอะซิลเวอร์สไปเดอร์แทน ส่วนตัวเคอร์บีนั้น ก็มีหน้าที่วางโครงเรื่องและลายละเอียดเกี่ยวกับพลังพิเศษต่าง ๆ ของตัวการ์ตูน ไซมอนได้อธิบายเพิ่มเติมว่า ฐานคติหรือคอนเซ็ปเกี่ยวกับเดอะซิลเวอร์สไปเดอร์ของทั้งเขาและเคอร์บีนั้น สุดท้ายแล้วก็ได้นำไปใช้เป็นพื้นฐานในการสร้างตัวการ์ตูนยอดมนุษย์อีกตัวหนึ่งที่ชื่อ "เดอะฟราย" (The Fly) ซึ่งอยู่ในสังกัดอาชีคอมมิคส์ (Archie Comics) ของไซมอนเอง โดยเดอะฟรายนั้นเปิดตัวครั้งแรกในช่วงต้นปี พ.ศ. 2502
เกร็ก ธีคสตัน (Greg Theakston) นักประวัติศาสตร์ด้านหนังสือการ์ตูน ได้กล่าวว่า หลังจากที่กู๊ดแมนได้ให้ความเห็นชอบกับการใช้ชื่อสไปเดอร์แมน และคอนเซ็ปท์ "วัยรุ่นธรรมดา ๆ" กับตัวการ์ตูนไอ้แมงมุมแล้ว ลีก็ได้ไปพบกับเคอร์บี โดยในการพบกันครั้งนั้น เคอร์บีได้เล่าที่มาของซิลเวอร์สไปเดอร์ ตัวการ์ตูนของเขา ให้ลีฟังว่า ซิลเวอร์สไปเดอร์เป็นเด็กกำพร้าที่อาศัยอยู่กับญาติสูงอายุของเขา และวันหนึ่งเมื่อเขาได้ไปพบแหวนวิเศษ เขาก็ได้รับพลังพิเศษมาจากแหวนวงนั้น ลีกับเคอร์บีนั่งประชุมกันในประเด็นเกี่ยวกับเนื้อเรื่องของไอ้แมงมุม ซึ่งหลังจากการประชุมสิ้นสุด ลีก็ได้มอบหมายให้เคอร์บีเพิ่มเติมรายละเอียดเกี่ยวกับตัวไอ้แมงมุมให้ และลองวาดตัวอย่างมาให้ลีดู หลังจากนั้น 1 หรือ 2 วัน เคอร์บีได้นำการ์ตูนตัวอย่างจำนวน 6 หน้ามานำเสนอให้ลีดู เมื่อลีได้ดูแล้วเขาก็ได้กล่าวว่า “ผมไม่ชอบวิธีที่เขาสร้างมันขึ้นมา ไม่ใช่เพราะฝีมือเขาไม่ดี แต่มันยังไม่ใช่ตัวการ์ตูนที่ผมต้องการ มันออกแนวฮีโร่มากเกินไป”[8] ทางด้านของไซมอนเอง ก็ยืนยันด้วยเหมือนกันว่า เคอร์บีได้นำเอาไอ้แมงมุมแบบดั้งเดิม (เดอะซิลเวอร์สไปเดอร์) ไปเสนอให้แก่ลี ผู้ซึ่งชอบแนวความคิดของเขา และมอบหมายให้เขาวาดตัวอย่างมาให้ดู แต่สุดท้ายลีก็ไม่ชอบผลงานที่เขาวาดออกมา ซึ่งไซมอนได้พรรณนาถึงตัวการ์ตูนที่เคอร์บีวาดเอาไว้ว่า เหมือน “กัปตันอเมริกาที่มีใยแมงมุม[9] หลังจากนั้นมา ลีก็ได้หันความสนใจไปที่ดิตโก และให้ดิตโกออกแบบองค์ประกอบต่าง ๆ ของไอ้แมงมุม ทั้งเสื้อผ้าที่ใส่ และลักษณะของพลังพิเศษต่าง ๆ แทนเคอร์บี ส่วนในเรื่องของสตอรีบอร์ดนั้น ก็เป็นหน้าที่ของดิตโกอีกเช่นกัน โดยดิตโกได้สร้างร่วมกับเอริค สแตนตัน (Eric Stanton) เพื่อนร่วมชั้นเรียนในโรงเรียนศิลปะ[10] โดยสแตนตันได้ให้สัมภาษณ์กับธีคสตันในปี พ.ศ. 2531 เกี่ยวกับเรื่องการทำงานกับดิตโกว่า เขาทั้งสอง “ได้ทำงานเกี่ยวกับสตอรีบอร์ดร่วมกัน และผมก็ได้เสริมความคิดของผมลงไปนิดหน่อย แต่เนื้องานส่วนใหญ่นั้น ได้รับการสร้างสรรค์มาจากตัวสตีฟเอง...ผมคิดว่าสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ในเรื่องนี้ก็คือ ประเด็นที่ไอ้แมงมุมสามารถพ่นใยออกมาจากมือของเขาได้”[11]

วันพฤหัสบดีที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย

พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย จ.นครปฐมตั้งอยู่ ถนนปิ่นเกล้านครชัยศรี กิโลเมตรที่ 31 ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม

ตั้งอยู่ถนนปิ่นเกล้านครชัยศรี กิโลเมตรที่ 31 ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ความเป็นมาของพิพิธภัณฑ์นี้เริ่มดำเนินการราว พ.ศ. 2527 โดยผู้ร่วมงานได้ซื้อที่ดินที่เป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์ปัจจุบันนี้จำนวน 12 ไร่ และเริ่มดำเนินการก่อสร้างตัวอาคารใน พ.ศ. 2529 เสร็จในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2531ในด้านการสร้างตัวหุ่นขี้ผึ้ง เกิดจากแรงดลใจของผู้สร้างสรรค์กลุ่มหนึ่ง ที่มีวัตถุประสงค์จะเผยแพร่และอนุรักษ์ไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรมประเพณีของไทย เพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าของเยาวชน ผู้ปั้นหุ่นขี้ผึ้ง คือ นาย ดวงแก้ว พิทยากรศิลป์ ได้ค้นพบการนำไฟเบอร์กลาสมาสร้างรูปหุ่นขี้ผึ้งแทนการใช้ขี้ผึ้งไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศของเมืองไทยไฟเบอร์กลาสมีความเหมาะสมเพราะคงทนถาวรให้ความรู้สึกนุ่มนวลสวยงามมากกว่า การดำเนินงานปั้นหุ่นระยะแรกมีปัญหามากทั้งทางด้านอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องคิดออกแบบสร้างขึ้นเองเพราะไม่มีในท้องตลาดในที่สุดสามารถสร้างหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสได้สำเร็จเป็นรูปแรกคือ พระราชสังวราภิมณฑ์ (หลวงปู่โต๊ะ) ซึ่งเริ่มดำเนินการในราว พ.ศ. 2525 เสร็จ พ.ศ. 2527 หลังจากประสบความสำเร็จแล้วคณะผู้ร่วมงานมีความเห็นว่าควรสนับสนุนให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์หุ่นขึ้ผึ้งไทยจึงเกิดขึ้นใน พ.ศ. 2527 ดังกล่าวแล้วจนกระทั่งปัจจุบันคณะทีมงานสามารถสร้างหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสได้ถึง 37 รูป ตั้งแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย
สิ่งที่น่าสนใจ ภายในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ได้แก่ ชุดพระอริยสงฆ์ ซึ่งเป็นรูปเหมือนของพระสงฆ์ที่สำคัญ ๆ เช่น พระมงคลเทพมุนี(สด จนทสโร หลวงพ่อวัดปาก น้ำ) หลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ ์ จังหวัดลำปาง เป็นต้น ชุดพระบรมรูปแบบของชีวิตประจำวัน เช่นประติมากรรมหมากรุกไทยมีการแสดงออกทั้งหน้าตา กิริยาอาการประติมากรรมสนใจข่าว ซึ่งมีลักษณะเหมือนจริงมากทั้งสีผิว เส้นผม ได้แก่ ชุดประเพณีการละเล่นของไทย ชุดวรรณคดีไทยเรื่องพระอภัยมณีของสุนทรภู่ เป็นต้น พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย ได้จัดแสดงภาพสะท้อนของสังคมไทยในมุมมองต่าง ๆและวิถีชีวิตของคนสมัยปัจจุบัน เป็นแหล่งที่ผู้สนใจใฝ่รู้ทางวิชาการด้านศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์จะไปศึกษาหาข้อมูลได้และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึง ดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างประเทศได้มาก
ในบรรดาผลงานศิลปะอันทรงคุณค่า ส่วนมากมักจะเกิดจากแรงบันดาลใจของศิลปิน นอกจากนี้ยังต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ความสามารถในงานศิลป์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์ที่สั่งสมเป็นเวลายาวนานของศิลปินคนนั้นๆ

เช่นเดียวกับ อาจารย์ดวงแก้ว พิทยากรศิลป์และคณะ ที่ได้ทุ่มเทพลังกายพลังใจ ร่วมกันคิด ค้นคว้า และพัฒนาเทคนิคในการสร้างสรรค์ “หุ่นขี้ผึ้ง” ตามแนวความคิดใหม่อย่างจริงจังตลอดเวลานานกว่า 10 ปี จนกลายเป็น “ประติมากรรมแห่งชีวิต” ซึ่งมากด้วยคุณค่าแห่งงานศิลป์ ที่ไม่เพียงแค่สะท้อนประสบการณ์ ความชำนาญของศิลปินที่คร่ำหวอดกับวงการประติมากรรมเท่านั้น แต่ยังชี้ชัดถึงแรงใจและแรงศรัทธาอันแรงกล้าในการแสวงหาความรู้ วิทยาการอันแปลกใหม่ให้แก่วงการศิลปะอีกด้วย สำหรับหุ่นขี้ผึ้ง "ประติมากรรมแห่งชีวิต" ของ อ.ดวงแก้ว ได้สะท้อนงานศิลปะที่มีชีวิตชีวาออกมาในทุกตารางนิ้ว นับแต่ผิวเนื้อของหุ่นที่แลดูเหมือนจริง ทั้งสีสัน ลายผิว รูขุมขน ตลอดจนรอยแผลต่างๆ ไปจนถึงเส้นผมที่ได้รับการปลูกทีละเส้น และดวงตาที่หล่อขึ้นเป็นพิเศษจึงดูมีแววตาและมีน้ำหล่อเลี้ยง ดุจนัยน์ตาจริง ทุกรายละเอียดได้รับการบรรจงสร้างสรรค์อย่างลึกซึ้งราวกับจะบันทึกประสบการณ์ชีวิตของบุคคลต้นแบบลงในทุกร่องรอย ซึ่งสามารถถ่ายทอดสู่ผู้ชมโดยแทบไม่ต้องอาศัยคำบรรยายใดๆ

จากหุ่นขี้ผึ้ง สู่หุ่นไฟเบอร์กลาส อาจารย์ดวงแก้วเล่าประวัติก่อนจะหันมาเป็นนักปั้นเต็มตัวให้ฟังว่า “ตอนผมเรียนจบคณะประติมากรรมศิลปากรมาใหม่ๆ ก็ทำงานหากินไปเรื่อย งานปั้นหุ่นขี้ผึ้งทำเป็นงานอดิเรก ทำเล่นตามความชอบของเรา ตอนแรกยังปั้นด้วยขึ้ผึ้งอยู่เลย ทีนี้พอทำไปทำมาเมื่อปั้นได้แล้วรู้ว่ามันไม่ทน ก็เลยคิดต่อไปว่ามีวัสดุอะไรทน ก็เลยได้ไฟเบอร์กลาส จากนั้นก็ค้นคว้าหาข้อมูลด้วยตัวเอง ลองผิดลองถูก ปั้นไปเรื่อยๆ จะว่าไปไฟเบอร์กลาสเป็นวัสดุที่ทนความร้อนได้ดี อยู่เมืองไทยแล้วไม่ละลาย ผมว่าทนร้อนได้ดีกว่าคนอีก”

ด้วยสภาพอากาศของประเทศไทยไม่เหมาะสมกับการสร้างหุ่นด้วยขี้ผึ้ง เนื่องจากมีความร้อน ความชื้นสูง รวมทั้งมีฝุ่นละอองมาก และที่สำคัญขี้ผึ้งเป็นวัสดุที่ไม่คงทน ไม่คงสภาพจึงมีโอกาสเสื่อมสลายลงได้ถึงแม้จะดูแล บำรุงรักษาเป็นอย่างดีแล้วก็ตาม

วันอังคารที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เที่ยว กรุงเทพ กับ รถไฟฟ้า BTS ...

สถานที่ท่องเที่ยวบนเส้นทางรถไฟฟ้า บีทีเอส
นอกจากนำพาท่านผู้โดยสาร ไปส่งยังที่หมายอย่างปลอดภัย และตรงต่อเวลาในวันทำงานที่เร่งด่วนแล้วการเดินทางท่องเที่ยวโดยรถไฟฟ้า บีทีเอส ในวันหยุดพักผ่อนยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะทำให้ท่านผู้โดยสารได้เพลินเพลิน และสนุกสนานไปกับสถานที่ท่องเที่ยว และสถานที่น่าสนใจต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทาง หรือในบริเวณใกล้เคียงกับสถานีรถไฟฟ้า รวมทั้งสถานที่สำคัญต่างๆ ตลอดสองฝั่งลำน้ำเจ้าพระยา และ หวังว่ารถไฟฟ้า บีทีเอส จะมีส่วนช่วยให้คุณค้นพบกรุงเทพฯ ในมุมมองที่แตกต่างจากที่เคย
สถานที่ท่องเที่ยวบนเส้นทางรถไฟฟ้า บีทีเอส
พิพิธภัณฑ์
วัด
ตลาด
ห้างสรรพสินค้า
ล่องเจ้าพระยา
ตลาดนัด จตุจักร
เคยมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าต้องการศึกษาวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นนั้นๆ ให้ไปที่ตลาด วันนี้รถไฟฟ้า บีทีเอส จึงอยากเชิญชวนท่านผู้โดยสารไปเที่ยวตลาด เพื่อทำความรู้จักกับกรุงเทพฯ ในบรรยากาศของการเกื้อหนุนระหว่างผู้ซื้อ และผู้ขาย และร่วมศึกษาวิถีการดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมของสังคมไทย
เปิดให้บริการในวันเสาร์ และอาทิตย์เท่านั้นมีสินค้าให้เลือกมากมายหลากหลายชนิด ตั้งแต่ของกิน ของใช้ ของตกแต่ง เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ของชำรวย ของที่ระลึก สัตว์เลี้ยง ต้นไม้ ฯลฯ นอกจากนี้ราคาของสินค้าที่ตลาดนัดจตุจักร ยังสามารถต่อรองราคาได้วิธีเดินทาง ให้ลงรถไฟฟ้าที่สถานีหมอชิต N8 (สายสุขุมวิท) ใช้ทางออกที่ 1 เดินต่อไปอีก 100 เมตร ก็จะถึงตลาดนัดจตุจักรซึ่งอยู่ทางด้านขวามือ ตลาดประตูน้ำ / ใบหยกทาวเวอร์ศูนย์ขายส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ รองเท้า แหล่งใหญ่ของกรุงเทพฯ วิธีเดินทาง ลงรถไฟฟ้าที่สถานีชิดลม E1 (สายสุขุมวิท) ใช้ทางออกที่ 3 เดินตรงไปประมาณ 250 เมตร จะเห็นสี่แยกราชประสงค์ ข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามและเดินต่อไปอีกประมาณ 450 เมตร จะถึงถนนเพชรบุรี ข้ามถนนไปก็จะถึงตลาดประตูน้ำ หรืออีกวิธีหนึ่งท่านสามารถนั่งรถเมล์สาย 13 สาย 2 สาย หรือสาย 511 มาลงที่ประตูน้ำได้

สวมลุมไนท์ บาซาร์
ตลาดนัดกลางคืนอีกแห่งของคนกรุงเทพฯ ที่รวมของข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องแต่งกายเก๋ๆ ภายในยังมีร้านอาหารอร่อย และโรงละคร หุ่นละครเล็ก ของคณะโจ หลุยส์ ให้ได้เพลิดเพลินกันทั้งครอบครัววิธีเดินทาง ลงรถไฟฟ้าที่สถานีศาลาแดง S2 (สายสีลม) ใช้ทางออกที่ 3 จากนั้นใช้บริการรถรับจ้างสาธารณะตรงไปทางถนนพระราม 4 เลี้ยวซ้ายที่แยกวิทยุ ตรงไปอีกประมาณ 300 เมตร ก็จะถึง สวนลุมไนท์ บาซาร์ หรือ เมื่อถึงสถานีศาลาแดงแล้วใช้ทางออกที่5 ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร(MRT) ต่อรถไฟฟ้ามหานครไปอีก 1 สถานี โดยลงที่สถานีลุมพินี แล้วออกทางออกที่4 ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล
ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ที่รวมของสินค้าคุณภาพชั้นนำจากใน และต่างประเทศ• เซ็นทรัล ลาดพร้าววิธีเดินทาง ลงรถไฟฟ้าที่สถานีหมอชิต N8 (สายสุขุมวิท) ใช้ทางออกที่ 3 ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินไปลงที่สถานีพหลโยธิน เพื่อเดินทางไปยังเซ็นทรัล ลาดพร้าว• เซ็นทรัล ชิดลม วิธีเดินทาง ลงรถไฟฟ้าที่สถานีชิดลม E1 (สายสุขุมวิท) ใช้ทางออกที่ 5 ใช้ทางเชื่อมโดยตรงจากสถานีชิดลมเข้าสู่ ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล ชิดลม• เซ็นทรัล สีลมคอมเพล็กซ์ วิธีเดินทาง ลงรถไฟฟ้าที่สถานีศาลาแดง S2 (สายสีลม) ใช้ทางออกที่ 4 ใช้ทางเชื่อมโดยตรงจากสถานีศาลาแดง เข้าสู่เซ็นทรัล สีลมคอมเพล็กซ์
เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา / อิเซตัน / เซน
ภายในศูนย์การค้า เซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา ที่ทันสมัยประกอบไปด้วยห้างสรรพสินค้าชั้นนำของกรุงเทพมหานครถึงสองห้างกันคือ อิเซตัน และเซน บริเวณหน้าห้าง จะมีลานเอนกประสงค์ (Central World Square) ไว้สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆ ในช่วงเทศกาล เช่น วันคริสต์มาสต์ วันปีใหม่ ลานเบียร์ และคอนเสิรต์ต่างๆ ซึ่งทุกปีจะมีนักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาเยี่ยมชม เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ที่ชั้น 7 ยังมีลานโบว์ลิ่ง โรงภาพยนต์ในเครือ SF และ Major รวมทั้ง International Food Court ไว้คอยบริการวิธีเดินทาง ลงที่สถานีชิดลม E1 (สายสุขุมวิท) ใช้ทางออกที่ 9 ซึ่งมีทางเชื่อมโดยตรงสู่อาคารเกษร พลาซา ต่อจากนั้นเดินทะลุอาคารเกษร ไปยังสะพานลอยเพื่อข้ามไปยังฝั่งเซ็นทรัล เวิลด์ พลาซา นารายณ์ภัณฑ์ศูนย์รวมของสินค้าที่ระลึก งานหัตกรรม งานฝีมือ ของตกแต่งบ้าน ที่เน้นเอกลักษณ์ความเป็นไทยวิธีเดินทาง ลงรถไฟฟ้าที่สถานีชิดลม E1 (สายสุขุมวิท) ใช้ทางออกที่ 1 เดินย้อนไปประมาณ 200 เมตร จะถึงสี่แยกราชประสงค์ จากนั้นเลี้ยวขวาและเดินตรงไปอีกประมาณ 150 เมตร ก็จะถึงนารายณ์ภัณฑ์
สยาม ดิสคัฟเวอรี่ สยาม เซ็นเตอร์ และ สยามพารากอน
แหล่งนัดพบของคนกรุงเทพฯ ศูนย์รวมของแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องแต่งกายทันสมัย จากทุกมุมโลก เลือกอร่อยได้กับร้านอาหารนานาชนิด และเพลิดเพลินไปกับการชมภาพยนตร์ที่ทันสมัย อาทิเช่น โรงภาพยนตร์สามมิติ ที่กรุงศรี IMAX ในสยามพารากอน เป็นต้น นอกจากนี้ ที่สยาม พารากอน ชั้นใต้ดิน ยังมี สยาม โอเชี่ยน เวิลด์ ซึ่งจำลองโลกใต้ทะเลมาไว้ใจกลางเมืองรวมทั้งสัตว์โลกใต้ทะเลนานาชนิดบนพื้นที่ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดในภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียววิธีเดินทาง ลงที่สถานีสยาม CEN (สายสีลม/สุขุมวิท) ใช้ทางออกที่ 1,3 โดยใช้ทางเชื่อมโดยตรงจากสถานีสู่ตัวอาคาร และทางออกที่ 5 สำหรับ สยาม โอเชี่ยน เวิลด์ และ พารากอน ซีเนเพล็กซ์
พิพิธภัณฑ
เรียนรู้เรื่องราวในอดีตผ่านทางพิพิธภัณฑ์ เพื่อปลุกจิตสำนึกให้รัก และหวงแหนในมรดก วัฒนธรรมของชาติ และร่วมกันอนุรักษ์ไว้เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้มีโอกาสภาคภูมิใจในความเป็นไทย
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เดิมสถานที่นี้เป็นวังหน้าของกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ที่โปรดให้สร้างขึ้นพร้อม ๆ กับวังหลวง มีพระที่นั่งที่สำคัญ ได้แก่ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พระที่นั่งพุทไธสวรรค์ พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย ต่อมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้จัดตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติขึ้นที่ศาลาสหทัยสมาคม เรียกว่า มิวเซี่ยมแล้วจึงย้ายมาไว้ที่วังหน้าของกรมพระราชวังบวรฯ ซึ่งบางส่วนกลายเป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และบริเวณข้างเคียงมีโรงเรียนช่างศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป์ และโรงละครแห่งชาติอยู่ในบริเวณเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจนอกจากพิพิธภัณฑ์แล้วยังมี วัดบวรสถานสุทธาวาส ตั้งอยู่ภายในบริเวณวังหน้าใกล้กับโรงเรียนช่างศิลป์ วัดนี้เรียกกันว่า "วัดพระแก้ววังหน้า"เปิดให้เข้าชมทุกวัน เว้นวันจันทร์ อังคาร และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ค่าเข้าชมชาวไทย 20 บาท ชาวต่างประเทศ 40 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2224 1370www.thailandmuseum.com/bangkok/bangkok.htm วิธีเดินทาง ให้ท่านขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อเดินทางไปยัง สถานีสะพานตากสิน S6 (สายสีลม) ใช้ทางออกที่ 2 แล้วใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาจากท่าสาทร Central Pier ไปยังท่าช้าง เลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนนมหาราชจนถึงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินตามกำแพงของมหาวิทยาลัย เลี้ยวซ้ายจะพบพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี เดิมเป็นอู่หรือโรงเก็บเรือพระราชพิธี เมื่อคราวเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 อู่เรือและเรือพระราชพิธีบางส่วนถูกระเบิดได้รับความเสียหายอย่างมาก และในปี พ.ศ. 2490 สำนักพระราชวังและกองทัพเรือได้มอบให้กรมศิลปากรทำการซ่อมแซมดูแลรักษาบรรดาเรือต่างๆ ที่ใช้ในพระราชพิธีเหล่านี้เรือพระราชพิธีเป็นเรือที่มีประวัติสำคัญมาแต่โบราณ ที่ยังคงความสวยงามในฝีมือช่างอันล้ำเลิศ และทรงคุณค่าในงานศิลปกรรม ประการสำคัญ ยังสามารถนำมาใช้ในการพระราชพิธีต่างๆ สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ กรมศิลปากรเล็งเห็นความสำคัญ จึงได้ขึ้นทะเบียนเรือพระที่นั่งต่างๆ ไว้เป็นมรดกของชาติ พร้อมทั้งยกฐานะของอู่เก็บเรือขึ้นเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี เมื่อปี พ.ศ. 2517 นอกจากจะเป็นอู่เก็บเรือพระที่นั่งแล้ว ยังจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุและ สิ่งของเครื่องใช้ประกอบในพิธีพยุหยาตราชลมารค เช่น บัลลังก์กัญญา บัลลังก์บุษบกเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00 – 17.00 น. ปิดวันขึ้นปีใหม่และวันสงกรานต์ค่าเข้าชมชาวไทย 10 บาท ชาวต่างประทศ 30 บาท ค่าถ่ายภาพในอาคาร 100 บาท ถ่ายวิดีโอ 200 บาท สนใจเข้าชม เป็นหมู่คณะติดต่อได้ที่ โทร 0 2424 0004สำหรับ นักเรียน นักศึกษาในเครื่องแบบ พระภิกษุ สามเณร และนักบวชในศาสนาต่างๆ เข้าชมได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม www.thailandmuseum.com/royal_barges/history.htm วิธีเดินทาง ให้ลงรถไฟฟ้าที่สถานีสะพานตากสิน S6 (สายสีลม) จากนั้นใช้บริการเรือโดยสารที่ท่าสาทร (Central Pier) ไปขึ้นที่ท่าพระปิ่นเกล้า น.12 และเดินไปยังพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี
พระที่นั่งวิมานเมฆ
สร้างขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 เมื่อ พ.ศ. 2443 ความพิเศษของ พระที่นั่งวิมานเมฆ อยู่ที่ลักษณะของพระที่นั่งที่ทำจากไม้สักทองทั้งหลัง โดยที่ยังคงลักษณะทางสถาปัตยกรรมให้คล้ายกับทางตะวันตกอยู่ ความพิเศษนี้เกิดจากมันสมองของ สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัติวงศ์ สถาปนิกเจ้าฟ้าของไทย พระที่นั่งวิมานเมฆนั้น เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โครงสร้างของพระที่นั่งมาโดยบังเอิญ เมื่อครั้งเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2444 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จประพาสเกาะสีชัง แล้วทอดพระเนตรเห็นพระที่นั่ง มันธาตุรัตนโรจน์ ซึ่งเป็นพระที่นั่งที่ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ เหตุที่สร้างไม่เสร็จเสียทีนั้นก็เป็นเพราะเกิดกรณีพิพาทระหว่างไทยกับฝรั่งเศสที่บริเวณอ่าวไทย ซึ่งเกาะสีชังก็อยู่ในข่ายที่จะถูกปิดล้อมด้วย เมื่อดำริเช่นนี้แล้ว พระองค์จึงรับสั่งให้รื้อพระที่นั่งนี้ มาปลูกไว้ยังพระราชวังดุสิต จากนั้นจึงรับสั่งให้สมเด็จกรมพระยานริศฯ เป็นผู้ออกแบบ สมเด็จกรมพระยานริศฯ นั้นทรงออกแบบพระที่นั่งใหม่นี้ตามแบบวิคตอเรียของอังกฤษ ด้วยไม้สักทองอันเป็นโครงเก่าของ พระที่นั่งมันธาตุรัตนโรจน์ ให้ออกมาเป็นรูปตัวแอล ส่วนบริเวณที่ประทับของพระที่นั่งนั้นทำเป็นรูป 8 เหลี่ยม สร้างสูงขึ้นไปเป็น 4 ชั้น พระที่นั่งนี้ใช้เวลาสร้างทั้งหมดราว 1 ปีกับอีก 7 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ และพระที่นั่งวิมานเมฆนี้ ก็กลายเป็นอาคารที่สร้างด้วยไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในกาลต่อมา ปัจจุบันสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงขอพระบรมราชานุญาติจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บูรณะซ่อมแซมพระที่นั่ง แล้วจัดเป็นพิพิธภัณท์ส่วนพระองค์รัชกาลที่ 5 ศิลปวัตถุที่จัดแสดง มีทั้งจากยุโรป และเอเซีย อาทิ เครื่องแก้ว เครื่องกระเบื้อง งาช้าง เครื่องลายครามและอื่นๆ สถานที่น่าสนใจอื่นๆ ภายในพระที่นั่งวิมานเมฆพิพิธภัณฑ์ศิลปาชีพ พระที่นั่งอภิเษกดุสิตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งอภิเษกดุสิต ขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2447 จุดเด่นที่สวยงามของพระที่นั่งองค์นี้ก็คือ ลายไม้ฉลุแบบสมัยพระนางเจ้าวิคตอเรียของประเทศอังกฤษ ปัจจุบันปรับแต่งเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงผลงานหัตถกรรม อาทิ เครื่องเงิน คร่ำ ผ้าทอ ผ้าปัก ถมเงิน ถมทอง และงานประดับด้วยปีกแมลงทับ เป็นต้น ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นโดยสมาชิกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พิพิธภัณฑ์รถม้าพระที่นั่งเป็นที่รวบรวมรถม้าพระที่นั่งโบราณซึ่งใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 รถม้าแต่ละคันเคยร่วมในพระราชพิธีสำคัญต่าง ๆ มีความสง่าสวยงาม และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ พระตำหนักสวนสี่ฤดูพระตำหนักองค์นี้เคยเป็นพระตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ สมเด็จพระอัครมเหสีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในจัดแสดงของที่ระลึกที่ได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายในคราเสด็จพระราชดำเนินไปในการต่างๆ นอกจากนี้ภายในเขตพระราชวังดุสิตยังมีอาคารที่จัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ภาพถ่าย ฝีพระหัตถ์ พิพิธภัณฑ์นาฬิกาโบราณ พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณ พิพิธภัณฑ์เครื่องราชูปโภค และพระสาทิสลักษณ์ เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.30 – 16.00 น. (ไม่เว้นวันหยุดราชการ) อัตราค่าเข้าชมชาวไทย เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 75 บาท ชาวต่างประเทศ 100 บาท รวมค่าเข้าชมพระที่นั่งอภิเษกดุสิต และ พิพิธภัณฑ์รถม้าพระที่นั่ง ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกันหากต้องการเข้าชมเป็นหมู่คณะต้องทำหนังสือแจ้งล่วงหน้า สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 0 2628 6300 ต่อ 5120 และ 5121 วิธีเดินทาง ให้ขึ้นรถไฟฟ้าไปยังสถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ N3 (สายสุขุมวิท) ใช้ทางออกที่ 3 และให้ขึ้นแท็กซี่ไปทางถนนราชวิถีเพื่อไปยังพระที่นั่งวิมานเมฆ

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Bangkok international Motor show 2008

"The Environmental Auto Globalization"นวัตกรรมยานยนต์ คน และธรรมชาติ

ปัจจุบันโลกต้องรับมือกับการเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน อันเป็นผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน ฉะนั้นมนุษย์เป็นปัจจัยหลักในการสร้างปัญหานี้ เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการด้านวัตถุ สิ่งอุปโภคและบริโภคหลายๆ ด้าน รวมถึงการใช้รถยนต์และเชื้อเพลิงที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันนี้ ซึ่งก่อเกิดปัญหามลภาวะเช่นเดียวกัน ดังนั้น เพื่อลดภาวะโลกร้อน ปัญหามลพิษ และเพื่อการพัฒนาความสมดุลให้แก่โลกใบนี้ระหว่างยานยนต์ คน และธรรมชาติ เริ่มใส่ใจกับสภาพแวดล้อมซักนิด เพื่อการดำรงชีวิตสืบต่อไปในอนาคต

Information


สถานที่ :
ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
วันแขกรับเชิญพิเศษ :
26 มีนาคม 2551 เวลา 12.00 - 20.00 น.
วันสื่อมวลชน :
27 มีนาคม 2551 เวลา 09.59 - 18.00 น.
ประชาชนทั่วไป :
28 มีนาคม - 6 เมษายน 2551
* วันธรรมดา :
เวลา 12.00 - 22.00 น.
* เสาร์ / อาทิตย์ :
เวลา 11.00 - 22.00 น.
พื้นที่จัดงานโดยรวม :
78,300 ตารางเมตร
พื้นที่จัดงานในอาคาร :40,000 ตารางเมตร
พื้นที่จัดงานนอกอาคาร :167,000 ตารางเมตร
พื้นที่จัดงานกิจกรรมพิเศษ :21,600 ตารางเมตร
บริษัทที่เข้าร่วมงาน :130 บริษัท จาก 11 ในประเทศ
ผู้เข้าร่วมงานโดยประมาณ :กว่า 1.6 ล้านคน
ประเภทรถที่โชว์ในงาน :รถยนต์ต้นแบบเทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต รถยนต์นั่ง รถจักรยานยนต์ รถมินิแวน รถขับเคลื่อนสี่ล้อ อะไหล่และอุปกรณ์แต่งรถ เทคโนโลยียานยนต์แห่งอนาคต
สถานที่จอดรถ :4,000 คัน บริเวณลานจอดรถรอบนอกจำนวน 15,000 คัน
ดำเนินงาน
บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
ควบคุมงาน
บริษัท บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ จำกัด
สนับสนุน
ราชยานยนต์สมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (ร.ย.ส.ท.)
กระทรวงอุตสาหกรรม
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย
สมาคมออฟโรดไทย
สมาพันธ์ออฟโรดแห่งประเทศไทย
สมาพันธ์ผู้ใช้รถยนต์แห่งประเทศไทย
สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย
สำนักงาน
บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ที่อยู่ : 4/299 หมู่ 5 ซอยลาดปลาเค้า 66 ถนนลาดปลาเค้า แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพฯ 10220
โทรศัพท์. (66) 0-2971-6450-65 , (66) 0-2522-1731-8
โทรสาร. (66) 0-2522-1730 , (66) 0-2971-6462
เว็บไซต์ :
http://www.bangkok-motorshow.com
อี-เมล์ : motorshow@grandprixgroup.com


การแสดงและกิจกรรมพิเศษ
คลาสสิกคาร์โชว์
โอเวอร์ไนท์ แรลลี่
ประกวดเครื่องเสียงรถยนต์
โฟล์คสวาเก้น คลับโชว์
แข่งรถและเครื่องบินบังคับวิทยุ
คลาสสิกไบค์โชว์
ฝึกทักษะการใช้รถออฟโรด
รถสปอร์ตโชว์
ประกวดมิสพรีเซ็นเตอร์
บางกอก ออโต้ ซาลอน
ออสตินคลับโชว์

การเดินทาง
รถประจำทาง สาย 2, 23, 129, 139, 180, ปอ. 23, 25, 51, 102, 129, 139, 142, 508, 513, 552, 552A รถไฟฟ้า BTS, MRTA แท็กซี่ รถลีมูซีน รถของสนามบิน มีบริการรถรับ-ส่งที่สถานีรถไฟฟ้า อ่อนนุช
ระยะทาง
27 กิโลเมตร จากท่าอากาศยานอสุวรรณภูมิถึงไบเทค
12 กิโลเมตร จากย่านใจกลางเมืองถึงไบเทค (โรงแรม แกรนด์ไฮแอท เอราวัณ

วันอาทิตย์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ประเทศนิวซีแลนด์


นิวซีแลนด์ (อังกฤษ: New Zealand ; เมารีนิวซีแลนด์: Aotearoa [เอาเตอารัว] หมายถึง "ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว" หรือ Niu Tireni [นิวทิเรนี] ซึ่งเป็นการทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ) เป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะ รวมถึงเกาะเล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนตะวันตกเฉียงใต้
นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ห่างไกลจากประเทศอื่น ๆ มากที่สุด ประเทศที่อยู่ใกล้ที่สุดคือ
ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะใหญ่ 2,000 กิโลเมตร โดยที่มี ทะเลแทสมันกั้นกลาง ดินแดนเดียวที่อยู่ทางใต้คือทวีปแอนตาร์กติกา และทางเหนือคือนิวแคลิโดเนีย ฟิจิ และตองกา
นิวซีแลนด์ได้กลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษด้วยสนธิสัญญาไวทังกิ (Treaty of Waitangi) เมื่อปี
พ.ศ. 2383 ซึ่งได้สัญญาไว้ว่าจะให้ "complete chieftainship" (tino rangatiratanga) แก่ชนเผ่าเมารีของนิวซีแลนด์ ในปัจจุบัน ความหมายที่แน่นอนของสนธิสัญญานี้ยังคงเป็นข้อพิพาท และยังคงเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการแบ่งแยกและความไม่พอใจ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2383 นิวซีแลนด์ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนเป็นประเทศอิสระที่มีรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย และอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ของกษัตริย์แห่งนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกับประเทศอื่นในเครือจักรภพ นิวซีแลนด์รับผิดชอบการต่างประเทศของหมู่เกาะคุกและนีอูเอซึ่งปกครองตนเอง และปกครองโตเกเลาเป็นเมืองขึ้น
พื้นที่ส่วนใหญ่ของนิวซีแลนด์มีภูมิอากาศเขตอบอุ่น และภูมิประเทศที่มีความหลากหลายและสวยงาม เศรษฐกิจของนิวซีแลนด์เน้นการค้าโดยมีฐานจากการเกษตร ชาวนิวซีแลนด์โดยทั่วไปเดินทางมาก และสนับสนุนการร่วมมือกันระหว่างประเทศและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมภายนอกเป็นกิจกรรมที่นิยมกันโดยเฉพาะกีฬาต่าง ๆ คือ
รักบี้ คริกเกต และ เนตบอล รวมถึง กีฬาเอกซ์ตรีมสปอร์ตและการเดินไกล
ประวัติศาสตร์
นิวซีแลนด์นั้นเดิมถูกปกครองโดยชาวเมารี แต่มีนักล่องเรือชาวดัตช์ ชื่อ อเบล แอนชุน ทัสแมน ได้ล่องเรือเลียบมาทางออสเตรเลียและได้พบเกาะนิวซีแลนด์เข้า และได้พบกับชาวเมารีที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นมิตรจึงได้ตั้งชื่อเกาะนี้ว่าNieuw Zeeland หรือ New Zealand จากนั้นชื่อเสียงของนิวซีแลนด์ก็เป็นที่รู้จักกันในยุโรป เพราะมีธรรมชาติที่สวยงามเหมาะกับการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์มาก ต่อมากัปตันเจมส์ คุก ได้ล่องเรือมาบ้าง แต่โชคดีที่มีคนบนเรือสามารถพูดภาษาไวทิงกิได้บ้าง จึงเจรจากับชาวเมารีได้ และพบว่าชาวเมารีเป็นชนเผ่าสายเลือดนับรบ จึงได้ตกลงแลกพืชพันธุ์กับอาวุธจากทางยุโรป และต่อมาเมื่อชาวเมารีมีอาวุธมากจึงสู้รบกันจนชนเผ่าเมารีลดลง ทางอังกฤษจึงได้ส่งคนมาทำสัญญา ที่มีชื่อว่า สนธิสัญญาไวทังกิ ขึ้น และส่งคนมาสำเร็จราชการแทนชื่อ วิลเลียม ฮอบสัน
สภาพภูมิอากาศ
ประกอบด้วย 4 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูร้อน ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ฤดูใบไม้ร่วง มีนาคม – พฤษภาคม ฤดูหนาว มิถุนายน – สิงหาคม ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน – พฤศจิกายน เนื่องจากตั้งอยู่ในโซนอากาศอบอุ่น ทำให้มีอากาศอบอุ่นชุ่มชื้นตลอดปี ฤดูร้อนอากาศค่อนข้างเย็น ฤดูหนาวไม่หนาวจัดมาก มีฝนตกตลอดปี ได้รับอิทธิพลจาก - ลมประจำที่พัดผ่าน คือลมฝ่ายตะวันตก - กระแสน้ำอุ่นออสเตรเลียตะวันออก อากาศแตกต่างกันดังนี้ - เกาะเหนือมีอากาศอบอุ่นชื้นทั่วเกาะ - เกาะใต้ชายฝั่งตะวันตกฝนชุกกว่าชายฝั่งตะวันออก ประชากร
นิวซีแลนด์ส่วนใหญ่มีเชื้อสายมาจากชาวอังกฤษ ส่วนชนเผ่าพื้นเมืองเรียกว่า ชาวเมารี (Maori) ซึ่งมีผิวสีเหลืองมีอยู่ประมาณ 151,100 คน ซึ่งมีสิทธิทางสังคมเทียบเท่ากับชาวผิวขาวทุกอย่าง โดยรัฐบาลกลางอังกฤษให้ความคุมครองทั่วถึงทุกคน ชาวนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนส์
วัฒนธรรม
ชาวนิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่ได้รับอารยธรรมอังกฤษแทบทั้งสิ้นการแต่งกายจะดูคล้ายชาวอังกฤษทางตอนเหนือ มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ
สถานที่ท่องเที่ยว
เกาะเหนือ - มีสถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ เมือง Auckland, ถ้า Waitomo ซึ่งมีหนอนเรืองแสง, เมืองน้ำพุร้อน Rotorua, หุบเขา Paradise Valley, ฟาร์ม Agrodome, ศูนย์หัตถกรรมชาวเมารี (Maori Arts&Crafts), พื้นที่อนุรักษ์ น้ำพุร้อนและโคลนเดือด Whakarewarewa Thermal Reserve
เกาะใต้ - มีสถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ เมือง Christchurch, ภูเขาที่มีสภาพอากาศเย็นตลอดปี ชื่อ Mt Cook, เมือง Queentown, ทะเลสาบ Te Anau, ร่องเรือที่ Milford Sound, ธารน้ำแข็ง Fox Glacier, ทางรถไฟสาย Tranz Alpine ซึ่งเชื่อมเมือง Hokitika, Greymouth และ Christchurch

G-shock

รุ่น : AW-591RL-4A
ราคาห้าง : 3,600 บาท
ราคาขาย : 2,900 บาท





รายละเอียดภาษาไทย

สินค้าใหม่ 100 % ของแท้ 100 %
กันสะเทือน (G-SHOCK)
กันน้ำลึก 200 เมตร
ไฟแบบ LED
ระบบไฟอัตโนมัติ พลิกมือไฟติด
ระบบเวลา 27 เมืองใหญ่ทั่วโลก
ระบบจับเวลาเดินหน้า
ระบบจับเวลาถอยหลัง
ระบบตั้งปลุก 5 เวลา
ระบบปฏิทินอัตโนมัติ ถึงปี 2039
ระบบบอกเวลา 12/24 ชั่วโมง
หน้าจอนาฬิกามี 2 ระบบ (เข็ม+ดิจิตอล)
แบตเตอรี่ 3 ปี
สายผ้า ด้านสายในสีแดง
ขนาดหน้าปัด 5.2 X 4.6 X 1.5 ซม.
น้ำหนัก 51.7 กรัม
พร้อมกล่อง G-Shock + คู่มือ CASIO
พร้อมใบประกันศูนย์ CMG
มีสติ๊กเกอร์ CMG ที่ฝาหลังนาฬิกา
ประกันศูนย์ เซ็นทรัล 1 ปี
ส่งซ่อมได้ทั่วประเทศ

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Sweet Mullet

Sweet Mullet
อัลบั้ม panaphobia ep. ในปี 2003 เป็นอัลบั้มแรกของวง sweet mullet ที่ได้เข้าสู่วงการเพลงใต้ดินและทำให้วงเริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่คนฟังเพลง underground อัลบั้มนี้ทางวงได้เขียนเพลงกันเอง ผลิตกันเอง และวางขายกันเองตามงานคอนเสิร์ตที่วงได้เดินทางไปเล่นตามที่ต่างๆ โดยมีสมาชิกคือ เต๋า (vocals), วีน (guitar), อั๋น (guitar), กล้วย (bass) และ หมู (drums) ในขณะนั้นเพลงของ sweet mullet ก็ได้เปิดทางคลื่นวิทยุ 104.5 fat radio บ้างในช่วง bedroom studio ทำให้ชื่อของ sweet mullet เริ่มเป็นที่รู้จักของคนฟังเพลงใต้ดิน
ในปีต่อมาทางวงได้มีโอกาสได้เซ็นสัญญากับสังกัด genie records ในเครือของ G”MM’ Grammy โดยการชักชวนของพี่โน่ (ดนัย ธงสินธุศักดิ์) ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์อยู่ที่ค่าย genie records พี่โน่ ให้ทางวงลองส่งแผ่นมาที่ค่ายดู หลังจากนั้นจึงได้รับการติดต่อกลับมา และทำให้มีโอกาสได้มาร่วมงานที่ genie records ในขณะเดียวกันวงได้มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกโดย กล้วย มือเบสของวงต้องกลับไปเล่นกับวงเก่าของเขา ทำให้ทางวงต้องหามือเบสใหม่ จึงได้ ตี่ มารับหน้าที่เล่นเบสแทน กล้วย ซึ่งความจริงแล้ว ตี่ ได้เคยเป็นสมาชิกยุคก่อตั้งวงและเคยเป็นมือเบสคนแรกของ sweet mullet ในยุคก่อนออกอัลบั้ม panaphobia ep.
และภายในปีเดียวกันทางวงมีโอกาสได้ออกผลงานในอัลบั้ม showroom vol.1 กับสังกัด genie records ซึ่งในอัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มรวมศิลปินหน้าใหม่ของ genie records โดยวง sweet mullet มีเพลง “ตอบ” เข้าไปรวมอยู่ในอัลบั้มนี้ และเพลง “ตอบ” ก็ได้เข้าไปติดอันดับ top 10 ในชาร์ตคลื่นวิทยุยอดนิยมต่างๆ จนกระทั่งในเวลาต่อมาเพลง “ตอบ” ได้ทำให้ทางวงได้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น ปี 2005 วง sweet mullet ได้รับเกียรติได้เล่นเป็นวงเปิดให้กับวงร็อกอันดับหนึ่งของประเทศไทยคือวง bodyslam ในงาน bodyslam believe concert ที่ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่ดีและเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่สำหรับวง
ในปัจจุบันขณะนี้วง sweet mullet กำลังขะมักเขม้นทำเพลงในอัลบั้มเต็มกันอย่างเต็มที่ และได้มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกกันอีกครั้ง เนื่องจาก วีน มือกีตาร์ของวงได้ลาออกเพราะต้องการไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ทำให้วงต้องหามือกีตาร์มาแทนคือ แป๊บ มารับตำแหน่งมือกีตาร์คนใหม่แทน วีน และไลน์อัพล่าสุดในปัจจุบันเลยมาลงตัวที่
เต๋า (vocals),
แป๊บ (guitar),
อั๋น (guitar),
ตี่ (bass)และ หมู (drums)
Sweet Mullet are :
ดุลยเกียรติ เลิศสุวรรณกุล (เต๋า) - vocals
ประณัฐ ธรรมโกสิทธิ์ (แป๊บ) - guitar
นฤดม ตันทนานนท์ (อั๋น) - guitar
พิสุทธิ์ โล่ห์สีทอง (ตี่) - bass
วิทวัส ภักดิ์แจ่มใส (หมู) - drums








วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล

สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล (Liverpool Football Club) เป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จสูงสุดทีมหนึ่งในฟุตบอลอังกฤษ ลิเวอร์พูลครองแชมป์ลีกสูงสุดถึง 18 ครั้ง ครองแชมป์ยูโรเปียนคัพ 5 ครั้ง ก่อตั้งใน วันที่ 15 มีนาคม ปี พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892) ลิเวอร์พูลเป็นสโมสรหนึ่งในกลุ่มจี-14 มีฉายาในภาษาไทยว่า "หงส์แดง" พร้อมด้วยคำขวัญ You will never walk alone
สนามปัจจุบันของสโมสรคือ
แอนฟิลด์ มีความจุ 45,362 คน ในขณะเดียวสนามใหม่กำลังถูกวางแผนก่อสร้างในชื่อ สนามสแตนลีย์พาร์ก ความจุประมาณ 60,000 อยู่ในระหว่างการเจรจาระหว่างเจ้าของและทางเอชเคเอส สำนักงานสถาปนิกอเมริกัน



ประวัติสโมสร

จอห์น โฮลดิ้ง นักธุรกิจชาวเมืองลิเวอร์พูลได้เช่าพื้นที่บริเวณ แอนฟิลด์ โรด เพื่อใช้สร้างสนามฟุตบอล และเมื่อสร้างเสร็จได้ให้สโมสรฟุตบอลเอฟเวอร์ตัน เช่าเป็นสนามแข่ง และเมื่อทีมเอฟเวอร์ตันได้เข้าสู่สมาชิกฟุตบอลลีก จอห์น โฮลดิ้ง พยายามจะเข้าไปบริหารงานในทีมเอฟเวอร์ตันและได้เพิ่มค่าเช่าสนามที่ทีมได้เช่าอยู่ ฝ่ายกลุ่มบริหารของเอฟเวอร์ตันจึงยกเลิกสัญญาเช่าสนาม และทีมเอฟเวอร์ตันได้ย้ายสนามไปอีกฝากของสวนสาธารณะ สแตนลี่ย์พาร์ค เพื่อไปสร้างสนามเป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อสนามว่า กูดีสันพาร์ก ดังนั้น จอห์น โฮลดิ้ง จึงต้องการสร้างทีมฟุตบอลขึ้นมา และ จอห์น โฮลดิ้ง จึงไปชวนเพื่อนสนิทของเขาชื่อ จอห์น แมคเคนน่า มาทำหน้าที่ประธานสโมสรและได้ตั้งชื่อทีมฟุตบอลนี้ว่า Liverpool Football Club



ยุคก่อตั้งสโมสร

หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์ ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีกซึ่งได้รับการยอมรับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น นกลิเวอร์เบิร์ด ( Liverbird ) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้ ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893 โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลส์โบรซ์ ไอโรโนโปลิส และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครองโดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล ( ทั้งหมด 28 นัด ) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ ( ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปัจจุบัน ) และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด













วันพฤหัสบดีที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สถานที่ท่องเที่ยวในเกาหลี


โซล ( 서울 , 서울 , , MC: Seoul, , MR: Sŏul ภาษาเกาหลีอ่านว่า ซอ-อุล ?) เป็นเมืองหลวงของประเทศเกาหลีใต้ โดยคำว่าโซลในภาษาเกาหลีมีความหมายว่า "เมืองหลวง" กรุงโซลในอดีตเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโซซอนมีชื่อเดิมว่า เมืองฮันยาง(한양) สถาปนาพร้อมกับการสร้างอาณาจักรโซซอน มีอายุประมาณ 600 ปี กรุงโซลปัจจุบันก่อตั้งในปี พ.ศ. 2491 และได้ถูกกำหนดเป็นเมืองพิเศษ โดยมีพื้นที่รวม 605 ตร.กม. โซลตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ โดยอยู่บริเวณแม่น้ำฮัน(한경)
เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ กรุงโซลได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน
กีฬาโอลิมปิก ฤดูร้อนในปี พ.ศ. 2531 และการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2002 ร่วมกับกับประเทศญี่ปุ่น
โซลมีประชากรประมาณ 10.3 ล้านคน (ปี พ.ศ. 2546) ซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรเป็นอันดับ 22 ของโลก นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งของ
ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน และประตูนัมแด (นัมแดมุน)

ดินแดน
คาบสมุทรเกาหลีเป็นดินแดนที่มีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ยาวนาน เริ่มแต่เป็นดินแดนของผู้คนหลากเผ่าพันธุ์ จนกระทั่งรวมตัวขึ้นเป็นอาณาจักรเล็กๆ ต่อมาถูกจีนยึดครอง เมื่อได้เอกราชจากจีน คาบสมุทรเกาหลีประกอบด้วยสามอาณาจักสำคัญก่อนจะรวมตัวกันเป็นอาณาจักรเดียวปกครองด้วยราชวงศ์ 2 ราชวงศ์ จนถูกญี่ปุ่นยึดครองเป็นอาณานิคมจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามมาด้วยสงครามเกาหลีที่ทำให้ต้องแบ่งเป็น 2 ประเทศในปัจจุบันคือเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ มีความพยายามที่จะรวมประเทศทั้งสองแต่ยังไม่สำเร็จ

เมียงดอง (Myeong-dong)(หรือ "มะยมดอง" ที่คนไทยเรียกกัน)เมียงดง ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวมแฟชั่นชั้นนำของเกาหลี และเป็นแหล่งนิยมของวัยรุ่นเกาหลี ที่นี่มีทั้งห้างสรรพสินค้าล็อตเต้ เมโทรมิโดป้า และห้างสรรพสินค้าชินเซแก และร้านมิกลิออร์ ซึ่งตั้งอยู่ทั้งใต้ดินและบนดิน ขายเครื่องแต่งกายสำเร็จรูป รองเท้า เครื่องใช้เครื่องประดับ และเครื่องสำอาง เป็นที่พึงปรารถนาของนักซื้อ นักแต่งตัวทั้งหลาย ตามตรอกด้านหลังจะมีร้านกาแฟและร้านอาหาร เพื่อแวะรับประทานได้ก่อนไปใช้จ่ายเงินต่อ Note: การเดินทาง : รถไฟใต้ดินสาย 2 ลงที่สถานีอุจจิโร (1) อิล (Eujilro 1 (il) ga) หรือสาย 4 ลงสถานีเมียงดง (Myeong-dong) ทางออก 5 เปิดเวลา : 10:30น. - 21:00 น. สุดปลายถนนเมียงดง ซึ่งพื้นที่เป็นเนินมีโบสท์เมียงดง ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางของศาสนาคาทอลิกในเกาหลี
"-->อินชาดง (Insadonggil)ตามแนวถนนอินซา-ดงนั้นมีร้านรวงนับร้อยๆ ร้าน ซึ่งแน่นขนัดไปด้วยภาพวาดด้วยหมึกแบบพื้นเมือง งานประดิษฐ์อักษรต่างๆ เครื่องเรือนแบบโบราณ งานฝีมือ เครื่องเคลือบ และเครื่องแต่งกายพื้นเมืองสมัยใหม่ ในทำนองเดียวกันตามตรอกด้านหลังอินซา-ดง จะเต็มไปด้วยร้านกาแฟ และร้านอาหารพื้นเมืองมากมาย ทุกวันอาทิตย์นั้น ถนนอินซา-ดง จะเป็นถนนคนเดิน โดยปิดไม่ให้รถวิ่งเลย ตามทางที่เดินไปนั้นยังมีการแสดงรื่นเริงต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องดนตรีให้จังหวะ
ติดกับอินซา-ดง คือนากวันอาเขต (Nagwon Arcade) เป็นทางเดินซื้อของซึ่งสองข้างทางจะเป็นตลาด เครื่องดนตรี ร้านขนม และของประณีตต่างๆ นอกจากนี้ยังมีพระราชวังอึนเฮียงกุง ที่อยู่ของผู้สำเร็จราชการแดวองกุน ในสมัยราชวงศ์โชซอน ผู้ซึ่งปิดประตูอาณาจักรต่อชาวต่างชาติ และโชเกซาซึ่งเป็นวัดหลักของนิกายพุทธที่สำคัญของเกาหลี ที่เรียกว่า โชเกจอง ในวัดนี้ นักท่องเที่ยวสามารถชมพิธีสวดมนต์แบบศาสนาพุทธ ในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของธูป ถนนที่ผ่านวัดโชเกซานั้น เต็มไปด้วยอุปกรณ์ต่างๆ และสินค้าที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา
ในเวลาเดียวกัน ถ้าเดินเลยไปทางด้านสถานีชงกัก (Jonggak) ของรถไฟใต้ดินสาย 1 เราจะพบหอคอยชงโน ซึ่งเมื่อขึ้นไปแล้วจะเห็นทัศนียภาพของกรุงโซลยามค่ำคืน เลยไปจากหอคอยชงโน คือหอระฆัง
สวนนัมซาน และบริเวณโดยรอบ (Namsan Park) สวนนัมซานตั้งอยู่บนเนินเขานัมซาน ที่นี่ก็เป็นที่ตั้งของหอคอยแห่งกรุงโซล ซึ่งบริเวณสวนนี้เป็นที่นิยมสำหรับการชมทัศนียภาพกรุงโซลจากบนหอคอย ซึ่งได้มุมมองที่กว้างไกลและไม่มีอะไรมาบดบัง ที่ฐานของหอคอยก็คือศาลาแปดเหลี่ยมปาลกั๊กจอง สวนสัตว์เล็กๆ สวนพฤกษชาติ อาคารอนุสรณ์ผู้รักชาติ อัน ชุง กุน และสถานที่อำนวยความสะดวก สวนสำหรับออกกำลังกายและเดินพักผ่อนหย่อนใจ
การขึ้นไปบนเขานัมซานก็สามารถทำได้โดยง่าย โดยอาจขึ้นกระเช้าไฟฟ้าจากสถานีตรงตีนเขา บางคนอาจชอบเดินขึ้นตามบันได้ผ่านสวนพฤกษสาตร์นัมซาน ไปทางศาลาปาลจั๊กจอง ขึ้นไปจนถึงหอคอย
ภายในหอคอยนี้มีพิพิธภัณฑ์ความเป็นอยู่แบบพื้นบ้าน โรงภาพยนตร์สามมิติ และภัตตาคารซึ่งบริการอาหารมังสวิรัติแบบพื้นเมือง รวมทั้งโรงละคร เวทีจัดคอนเสิร์ต ท้ายที่สุดถ้าเราขึ้นไปบนหอคอยในเวลากลางคืนนั้น เราจะได้เห็นทัศนียภาพยามค่ำคืนที่สวยงามหอคอยโซล (Seoul Tower) - เมื่อขึ้นไปบนหอคอยโซล สามารถใช้กล้องส่องทางไกลที่จัดเตรียมไว้แล้วชมทัศนียภาพได้อย่างชัดเจน สามารถมองเห็นกรุงโซลโดยรอบได้อย่างชัดเจน และที่บนสุดของหอคอยก็มีหอดูดาวและภัตตาคารที่หมุนได้รอบทิศด้วยNote : การขึ้นกระเช้าลอยฟ้าให้ลงรถไฟใต้ดินสาย 4 ลงที่สถานีเมียงดอง (Myeong-dong) ทางออกหมายเลข 3 ใช้เวลาประมาณ 15 นาที เวลาเปิด 10:00 - 22.30 น. ค่าขึ้นรถกระเช้า - 3500 วอน (เที่ยวเดียว)หอคอยแห่งกรุงโซล - เวลาเปิด 10:00-24:00 (สำหรับหอดูดาว) ราคา 8,500 วอน สำหรับหอดูดาว พิพิธภัณฑ์และโรงละคร
สวนสนุกล้อตเต้เวิลด์ (Lotte World) ตลอดปีจะมีเครื่องเล่นสนุกน่าหวาดเสียวบริการอยู่ เช่นรถเหาะ ขบวนพาเหรดแปลกตา รายการแสดงต่างๆ ภาพยนตร์ นอกจากนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านซึ่งสามารถพาเราเข้าไปในประวัติศาสตร์ความเป็นอยู่ในเกาหลี จำลองให้เห็นหมู่บ้านย่อส่วนต่างๆ Note: การเดินทาง : สาย 2 หรือ สาย 8 ลงสถานีชัมซิล (Jamsil) ทางออกหมายเลข 8 เปิดเวลา : 09:30 น. - 23:00 น. ค่าบริการ : 24,000 วอน ตั๋วเดียวชมได้หมดทุกรายการ
แม่น้ำฮัน (Han River) - แม่น้ำนี้คือสัญลักษณ์ของกรุงโซล และไหลผ่านกรุงโซลจากตะวันออกไปตะวันตก มีความลึกโดยเฉลี่ย 2.5 เมตร และกว้าง 175 เมตร มีสะพานข้ามแม่น้ำถึง 22 แห่งและเรือนำเที่ยวตลอดสาย ระหว่างยออีโด และชัมซิลผ่านตุ๊กซอม ที่ริมตลิ่งของแม่น้ำมีสวนตั้งอยู่ประมาณ 10 แห่ง ซึ่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกีฬา เช่นสนามฟุตบอล วอลเล่ย์บอล และบาสเก็ตบอล และสระว่ายน้ำ มีแม้กระทั่งที่เล่นสกีน้ำ เรือ และตกปลา ทัศนียภาพริมฝั่งทั้งสองข้างก็งดงามน่าชม ผู้ที่ไปเที่ยวกรุงโซลต้องลงเรือเที่ยวใช้เวลา 1 ชั่วโมง และมี 5 รอบ (ตั๋วลงเรือ 7,000 วอน)